"แห้ว รีเจนซี่" หรือพระปณิธาน ฐิตวิริโย บวชเพราะอยากเป็นพระศีล227ข้อเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณและต่อสู้กับโรคร้าย

สัมภาษณ์พระปณิธาน ฐิตฺวิริโย หรือปณิธาน สังข์ประเสริฐ หรือที่รู้จักกันดีในนาม “แห้ว รีเจนซี่” บวชเพื่อทดแทนคุณและอยากเป็นพระศีล227ข้อ..หลังจากเป็นโรคร้าย วิธีต่อสู้ที่ดีที่สุด คือการบวช ถึง 5 พรรษา http://winne.ws/n4577

2.5 พัน ผู้เข้าชม
"แห้ว รีเจนซี่" หรือพระปณิธาน ฐิตวิริโย บวชเพราะอยากเป็นพระศีล227ข้อเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณและต่อสู้กับโรคร้าย

        เมื่อหลายปีก่อน เคยสัมภาษณ์ คุณปณิธาน สังข์ประเสริฐ หรือที่รู้จักกันดีในนาม “แห้ว รีเจนซี่” ทำให้เราลึกซึ้งถึงคุณค่าของผู้ที่ไม่ยอมแพ้กับความอาภัพอับจน ด้วยความอดทน อดกลั้นและอดออม โดยเฉพาะความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณถือเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยม เงินจำนวนมากที่หาได้จากน้ำพักน้ำแรงเป็นค่ารักษาพยาบาลพ่อแม่จนหมด...         

          จนกระทั่งเมื่อวันพฤหัสที่ 18 ธันวาคม 2014 ได้พบกันอีกครั้งที่ร้านอาหารศรีวินซอร์ ของคุณดนัยภัทร-คุณอัมภาศรี บุณยะพรรค แต่ในวันนี้ “แห้ว รีเจนซี่” อยู่ในสมณเพศ “พระปณิธาน (ฐิตฺวิริโย)” ได้สัมภาษณ์ท่านถึงความตั้งใจและสิ่งที่ได้จากใต้ร่มกาสาวพัสตร์... 

          ...อาตมาบวชตั้งแต่เมื่อปี 2010 ตอนนี้ครบ 5 พรรษาแล้ว ที่ตัดสินใจบวชเพราะหมดห่วง คุณพ่อเสียแล้ว สุดท้ายคุณแม่เสียก็ไม่ได้ไปดูใจ เท่ากับหมดภาระหน้าที่ของตัวเอง กับความกตัญญูบิดามารดาที่เลี้ยงดูมา ตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ถือว่าครบแล้ว มาคิดถึงชีวิตของตัวเอง ในเมื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับหลายคนมาแล้ว ก็ต้องให้กับตัวเองบ้าง

อาตมาชอบท่องเที่ยว ชอบสนุกสนาน ชอบอยู่ในสังคมที่กำลังพัฒนา แต่สิ่งที่จะเป็นกุศลส่งให้มีความเจริญรุ่งเรืองก็คือธรรมะ ใฝ่บุญ ใฝ่รู้ จึงตัดสินใจบวช ถือเป็นการให้รางวัลตัวเองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

        เริ่มจากความตั้งใจตอนที่แฟนคลับสมัยเป็น “แห้ว รีเจนซี่” พาไปที่วัดบอสตันพุทธวราราม เมืองเบดฟอร์ด รัฐแมสซาชูเส็ท ห่างจากบอสตัน 40 นาที  พอไปถึงอาตมารู้สึกชอบบรรยากาศที่เงียบสงบ ตั้งใจจะบวชที่นั่น เดินทางกลับมาถึงแอลเอแล้วต่อไปเมืองไทย เพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ไปเคารพดวงวิญญาณแม่ แล้วไปกราบหลวงพ่อถาวร วัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะมานาน อาตมาเคยคิดบวชครั้งแรกเมื่อตอนอายุ 29 ปี หลวงพ่อถาวรบอกว่า ไม่บวชให้ ไปดังทางโลกก่อน ตอนนั้นผิดหวังมาก จนกระทั่งเป็นแห้ว รีเจนซี่ ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา ก็นึกถึงคำที่ท่านเคยเอ่ยไว้ 

          ครั้งนี้พอกราบท่าน ท่านถามเลยว่า มาบวชใช่ไหม จะบวชให้ มาทางธรรมบ้าง อาตมาบอกว่าต้องการบวชให้กับชีวิตของตัวเอง เพื่อความเจริญในสิ่งที่จะก้าวต่อไป หลวงพ่อบอกว่า บวชน้อย บวชนานไม่มีปัญหา แต่คราวนี้จะเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ อาตมาก็บวชที่นั่นเลย และหลวงพ่อมีวัดพุทธไทยถาวร ที่นิวยอร์ค ท่านบอกว่าบวชแล้วอยู่ที่เมืองไทย 1 พรรษา แล้วไปอยู่ที่นิวยอร์คสักพัก หรือจะไปเมืองฮิวส์ตันก็ได้ อาตมาเลือกนิวยอร์ค

          ตอนอยู่เมืองไทย เป็นลมล้มไปเฉย ๆ เข้าโรงพยาบาลหมอตรวจพบว่าเส้นเลือดในสมองข้างขวาของอาตมาตีบ มีแต่ข้างซ้าย เลือดขึ้นไปหล่อเลี้ยงสมองได้น้อย หมอให้คอยดูแลควบคู่กับโรคที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน บอกว่าอย่าให้เกิดการอุดตันอีกข้างหนึ่ง จะมีปัญหา

          อาตมาอยู่ที่นิวยอร์ค 6 เดือน กลับแอลเอมาทำเรื่องเกี่ยวกับการรักษาโรค เพื่อให้หมอทำใบรับรองส่งตัวไปรักษาทางโน้น พอปี 2012 นึกขึ้นได้ว่าเคยให้คำสัตย์สัญญากับวัดบอสตันพุทธวราราม เมืองเบดฟอร์ด ว่าจะไปบวชที่นั่น แล้วก็ไม่ได้ทำตาม รู้สึกสำนึกว่าตัวเองให้คำสัตย์เอาไว้แล้ว จึงเดินทางไปที่วัดบอสตันฯ กราบเจ้าอาวาส พระครูวิทิตธรรมสาร (หลวงพ่อนิโรช ฐิตฺโชติโก) ว่าขอจำพรรษาเพื่อทดแทนคำสัตย์ที่เคยเอ่ยไว้ ท่านก็อนุญาต

         พออยู่สักพัก ไปหาหมอที่โรงพยาบาลโรเวล เจนเนอรัล ใกล้กับเมืองเบดฟอร์ด หมอบอกว่า ถ้ารักษาโรคนี้ก็ควรอยู่ที่นั่น อากาศดีกว่ามาก ควรอยู่กับอากาศเย็น โรคจะได้ไม่กำเริบ มิฉะนั้นร่างกายจะเพลียและเกิดอาการช็อคได้ง่าย อาตมาเชื่อหมอก็อยู่ต่อ ปีแรก ปีที่ 2-3 รู้สึกสบายใจ สดชื่นแจ่มใส บินกลับมาเยี่ยมโยมที่แอลเอ ก็มีคนชมว่า อาตมาหน้าตาผ่องใส ไปตรวจครั้งล่าสุด หมอแปลกใจว่า ลดน้อยลงเกือบจะเป็นปกติ อาตมานึกถึงสิ่งที่พระทำคือ เจริญภาวนา             

"แห้ว รีเจนซี่" หรือพระปณิธาน ฐิตวิริโย บวชเพราะอยากเป็นพระศีล227ข้อเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณและต่อสู้กับโรคร้าย

ถ้าถามว่าบวชครั้งนี้อยากได้อะไร อาตมาขอตอบว่า อยากเป็นพระ คำว่าพระ ไม่ใช่ของง่าย การรักษาศีล 227 ข้อ การปฏิบัติตนทั้งหน้าและหลังให้เหมือนกัน ทำตนให้เสมอต้นเสมอปลาย แล้วอยู่ตรงนี้ไม่อึดอัดเลย นึกถึงความอดทนที่ขดตัวอยู่ในท้องมารดาตั้ง 9 เดือน ยังอยู่ได้ แค่นี้ทำไมถึงทนไม่ได้ นั่นคือกำลังใจที่ให้ตัวเองมาตลอด อีกอย่างหนึ่งการดูแลตัวเองในเรื่องอาหาร ร่างกายและทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้รู้จักการผ่อนคลาย

โยมชมว่าหน้าตาดูดีขึ้น ถือเป็นกำลังใจให้อาตมา ถ้าหน้าตาอิดโรย แสดงว่าขาดการดูแล สิ่งเหล่านี้เป็นกระจกส่องให้เรา ถ้าโยมทักว่าอาตมาดูโทรมไปนะ ดูซีดไป เราก็จะซีดลง คนที่เป็นโรคร้ายๆ พอมีสภาพจิตใจที่ห่อเหี่ยว เหมือนเจ้ากรรมนายเวรช่วยกันรุมกระทืบ รุมย่ำ รุมขยำ ก็ไปเร็ว โยมที่เคยคุ้นเคยกัน พอรู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้าย 2 อาทิตย์ก็ไปเลย

ขอฝากไว้ว่าคนที่เป็นโรคร้ายชนิดใดก็ตาม ต้องสู้กับมัน ไม่ใช่ไปแบมือรับยากับหมอ หรือขอคำแนะนำกับหมอเท่านั้น ต้องหมั่นศึกษาว่าเป็นขนาดไหน อย่าให้มีโรคแทรกซ้อนขึ้นมา ให้มันเบาบางลง อย่าห้ามตัวเองไม่ให้กิน แต่จงกินพอประมาณ ถ้าเป็นของแสลงหยุดได้ก็จะดี ของที่หมอไม่ห้าม ควรบริโภคปริมาณน้อยลง แล้วเราต้องกำจัดความอยากให้หายไป ส่วนตัวอาตมาจดไว้ว่าอาทิตย์หนึ่งฉันเนื้อน้อยหน่อย ปลาฉันได้ทุกวัน ผักผลไม้เป็นส่วนใหญ่

ข่าวที่ว่าอาตมาเป็นมะเร็งตับ ตอนนี้ดีขึ้นเกือบปกติแล้ว เพราะดูแลตัวเองและสวดมนต์ภาวนา เมื่อก่อนเคยดูรายการเจาะใจ เชิญคนที่เป็นโรคนี้มาออกรายการ ใช้วิธีปฏิบัติธรรม อาตมาได้ข้อคิดจากตรงนั้น พอเกิดขึ้นกับตัวเอง ก็ถือว่ายังมีบุญอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น ขอให้มีจิตมุ่งมั่น ไม่ตึงเกินไป ร่างกายคนเราอยู่ที่ใจ ถ้าจิตดี กายดี ปัญญาเกิด

พระพุทธองค์สอนว่า จงดูสิ่งที่ใกล้ตัวก่อนที่จะไปมองคนอื่น จิตใจคือพลังแห่งอำนาจ พลังที่เป็นกำแพง พลังที่บ่งบอกถึงความต่อต้าน อดทน อดกลั้นที่จะฝ่าฟัน ไม่ได้คิดว่าจะหาย แต่คิดว่ามีความสุข มีคำกล่าวว่า ตอนหมดลมหายใจ จิตดีจะขึ้นสวรรค์ แต่อาตมาก็ไม่รู้เพราะสิ่งนี้ตอบไม่ได้ว่าจริงหรือไม่ นอกจากเราจะถึงตรงนั้น แต่ขอให้เรามีจิตดี การเรียนนั่งสมาธิก็เหมือนกัน มีใครบ้างหนึ่งนาทีไม่คิดอะไรเลย เป็นไปไม่ได้ ความฟุ้งซ่านอาจเป็นไปได้ สิ่งที่อาตมาสัมผัสก็คือ จงทำตัวเองให้มีความว่างเปล่า หมายความว่าไม่คิด ไม่ฟุ้ง ไม่เสื่อม ไม่แสวงหาในสิ่งที่บั่นทอนให้ตัวเองเกิดทุกข์ จะได้ความสบายใจ อะไรดีก็ดี อะไรเลวมันก็เลว           

เมื่อก่อนอธิษฐานจากได้ภาษาอังกฤษ ก็เข็นไม่ขึ้นเสียที ภาษาต่างประเทศของอาตมาอ่อนอยู่แล้ว ไปเรียนที่เมืองโรเวล ได้ 2 ปีแล้ว คิดว่าอนาคตข้างหน้าอาจจะต้องใช้ถ้ายังอยู่ที่นี่ ถึงไม่อยู่ก็อาจได้ใช้ เพราะชีวิตชอบดิ้นรน มุ่งมั่นในความเจริญ แต่ภาษาก็ไม่ค่อยขึ้น ฟังเทปจนหูช้ำ หูชา ก็ได้แค่นั้น แต่ครูที่สอนชมว่าพูดได้เหมือนซีดี แล้วก็พูดเพราะ ครูชมว่า..ฉันชอบเวลาปณิธานยิ้ม ยิ้มทั้งนัยน์ตา...พอรู้ทีหลังว่าอาตมาเคยเป็นนักแสดงตลก จากยูทูปที่ให้เพื่อนๆ ดู ก็ตื่นเต้นกันใหญ่ ฝรั่งสนใจเข้ามาไต่ถาม

ชีวิตอาตมาพยายามมามากแล้ว มีอยู่อย่างเดียวที่ยังพยายามอยู่ก็คือเรียนภาษา ก็ตั้งจิตอธิษฐาน คำใดที่อาตมาเคยสาบาน เคยเกลียดชัง เคยอิจฉา เคยริษยาภาษาต่างประเทศ ขอถอนคำสาบานนั้นๆ ถึงเข็นไม่ขึ้นแต่จิตใจก็ยังมุมานะ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด 

ถ้าถามว่า อาตมาจะบวชอีกนานเท่าไร ขอตอบว่า แล้วแต่ชะตาชีวิต โลกนี้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี เชื่อว่าตอนนี้อยู่ในยุคเสื่อม ขอพูดกว้างๆ ไม่ว่าสิ่งใดก็แล้วแต่ที่เห็นมา ศรัทธาที่มีอยู่ ไม่อยากให้ตัวเองต้องขับออกจากใจ พยายามเลี่ยงที่จะเห็น หลับหูหลับตา ไม่ยุ่งเรื่องคนอื่น ไม่เอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นอารมณ์ อารมณ์ในที่นี้กว้าง หมายถึงว่า เราเห็นแล้วไม่ไปนินทาเขา เห็นแล้วก็อยู่ในวินัย อยู่ในกรอบของพระให้ดีที่สุด

"แห้ว รีเจนซี่" หรือพระปณิธาน ฐิตวิริโย บวชเพราะอยากเป็นพระศีล227ข้อเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณและต่อสู้กับโรคร้าย

ตอนที่ท่านอาจารย์ ว.วชิรเมธี ไปเยี่ยมวัดบอสตันฯ ได้พบกัน ท่านถามอาตมาว่า ตอนบวชมีจุดประสงค์อะไร อาตมาตอบว่า ต้องการเป็นพระ ท่านอาจารย์บอกว่า ตอบแปลก ตอบไม่เหมือนชาวบ้าน แล้วตอนนี้ยังไม่เป็นพระหรือ อาตมาตอบว่า ยังไม่ครบสมบูรณ์ แค่อยู่ในกรอบของพระ การเป็นพระ เป็นสิ่งที่ยาก ยากที่จะทำ อะไรนิดอะไรหน่อยต้องอยู่ในกรอบ ถ้ามากไป คนสมัยใหม่ก็ว่า แป๊ะเว่อ น้อยไปก็เสี่ยง ก็ขอคงเส้นคงวาในตัวเองก็แล้วกัน

บวชนานหรือไม่นาน ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่จะพาไป สิ่งที่ได้คือข้อแตกต่างระหว่างผู้ทรงศีลกับฆราวาส สมัยนี้การเป็นฆราวาสก็บรรลุธรรมได้ ถ้าตัวเองอยู่ในกรอบที่ดี ไม่ต้องถึงกับเคร่งหรือแก่วัด เวลาเทศน์ให้โยมฟัง ก็ไม่ศึกษาธรรมะมากมาย เอาประสบการณ์ชีวิตของตัวเองที่เคยผ่านมา กลายเป็นดลใจคนที่ฟัง ทำให้มีข้อแก้ไข 

 ที่วัดบอสตันฯ ละแวกนั้นมีคนไทยพอสมควร ถ้ามีงานบุญ งานสำคัญ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า มีประมาณ 400-500 คน มีฝรั่งมาร่วมด้วยบ้าง พระประจำวัดในปัจจุบันมี 4 รูป มีพระอาคันตุกะมาเสริมบ้างในแต่ละพรรษา ให้ครบ 5 รูป เพื่อกฐิน หลวงพ่อนิโรช เจ้าอาวาสเป็นพระที่มีจิตใจงาม มีความเอื้อเฟื้อกับพระผู้น้อย อยากแสวงหาธรรมก็เรียนให้ท่านทราบ อาตมาต้องขอขอบคุณท่านที่ได้เอื้อเฟื้อมาตลอด

ส่วนหนึ่งอาตมาได้บทเรียน ได้เห็น ได้รูปแบบของพระแต่อาตมาเข้าใจว่า ยุคนี้อยู่ในยุคเสื่อม อยู่ในยุคที่เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมพาไป จิตใจของคนเราเป็นสิ่งสำคัญ มีความอดกลั้น อดทน มีจุดมุ่งหมายที่ดี ถ้าเราไปไม่ถึงตรงนั้น แต่เราตั้งใจไปให้ถึง นั่นก็เป็นสิ่งที่สมควรกับทุกคน ถ้าคนเราไม่มีจุดมุ่งหมายเลย สะเปะสะปะ เดินออกนอกทางบ้าง ไปพบขวากหนามจนไขว้เขวไป มีอะไรเข้ามาสัมผัสหน่อยก็เหมือนกับนุ่น แตะแล้วฟุ้ง ลอยไปในอากาศโดยไม่มีทิศทาง อาตมาคิดว่า ถ้าเรามีจุดมุ่งหมายในชีวิต มีความตั้งใจ อดกลั้น อดทน สิ่งเหล่านั้นเป็นความสำเร็จอยู่ข้างหน้าที่ทุกคนจะไขว่คว้าให้ถึง

ดีใจที่กลับมาพบความเปลี่ยนแปลงในจุดเดิม ไม่ว่าคนหรือวัตถุสิ่งของ รู้สึกว่าปรับตัวได้ทัน ไม่ผิดหวังเหมือนเมื่อก่อน เวลากลับไปเมืองไทย เพื่อนฝูงเปลี่ยนแปลงไปหมด ทำให้อาตมาคิดว่าจากวันนั้นถึงวันนี้เราไม่เปลี่ยน การปรับเปลี่ยนของเราถ้าตรงกับเป้าหมายก็ดีไป แต่ถ้าปรับเปลี่ยนในสถานะที่เป็นอยู่และความเอาใจใส่ตัวเองบ้าง เราก็จะตามในสิ่งนั้นทัน โดยไม่ผิดหวังและเสียใจ

คนไทยที่อยู่ที่นี่ มีจุดมุ่งหมายในสิ่งที่แสวงหาและเดินทางกันมา ความดีที่ตนเองสร้างกับสิ่งที่ไม่ดีที่ตนเองเห็น ให้เลือกและแบ่งให้ถูก ว่าเราควรจะเข้าไปยุ่งหรือไม่ ถ้ายุ่งแล้วเกิดทุกข์ก็เลี่ยงเสีย แต่ถ้าเข้าไปแล้วเกิดสุข ก็อย่าเหลิงกับความสุขที่ได้มา อย่าติดมั่นในสิ่งที่เป็นความเจริญไม่มีขอบเขต จงรักษาตน ร่างกาย สุขภาพจิตสุขภาพใจให้ดี ประคองให้ดี อย่าหลงไหลให้มากเกินไป แต่ก็อย่าจมอยู่กับความทุกข์ที่ไม่มีวันหายไปจากจิตของเราเลย

ตอนอาตมามาทำงานที่แอลเอใหม่ๆ เคยเสียใจกับเพื่อนร่วมงาน มาถึงวันนี้ อาตมาเกือบลืมไปหมดแล้ว เพราะสิ่งที่ได้จากธรรมะมาขัดเกลาจิตใจของตัวเองให้เย็นลง มีสติเกิดขึ้นบ้าง แม้ไม่มาก แต่ก็ยั้งคิดยั้งทำ คิดเสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความเปลี่ยนแปลง ตราบใดที่โลกยังหมุน ลมหายใจยังมี เรายังต้องแสวงหาด้วยสัมผัสทั้ง 5 ตา หู ปาก จมูกและร่างกาย จิตใจที่ดี มองโลกในแง่ดีเป็นพลังอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง ถ้ามองโลกในแง่ร้ายความทุกข์ใจจะเข้ามาหาทันที

ขอฝากไว้ว่า รักอะไรก็รักได้ แต่ถ้าจะรักใครสักคน ขอให้รักตัวเราให้มากที่สุด สิ่งนี้คือสิ่งที่ประเสริฐแล้วสำหรับจิตที่ดี ในชีวิตข้างหน้า.

ที่มา:             

http://sereechai.com/index.php/2013-05-10-02-33-15/2880-2015-01-05-18-27-24

ขอบคุณภาพจาก www.google.com

แชร์