ดั่งปาฏิหาริย์ ! พระพุทธรูปแกะสลักบามิยันในอัฟกานิสถาน กลับมาอีกครั้งในองค์สีทองอร่ามเรืองรอง

โครงการฉายภาพสามมิติ พระพุทธรูปบามิยัน จึงได้เริ่มต้นขึ้น โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญต่างๆมาร่วมในโครงการฯด้วย โครงการฯได้ฉายภาพพระพุทธรูปทั้งหมดสองวัน วันละสิบกว่าชั่วโมง โดยมีผู้คนราว 150 คน ร่วมเป็นสักขีพยานในการกลับมาของพระพุทธรูป http://winne.ws/n12709

9.2 พัน ผู้เข้าชม
ดั่งปาฏิหาริย์ ! พระพุทธรูปแกะสลักบามิยันในอัฟกานิสถาน กลับมาอีกครั้งในองค์สีทองอร่ามเรืองรอง

พระพุทธรูปบามิยัน เคยยืนทอดสายตามองเหนือหุบเขาบาบิยัน ตอนกลางของประเทศอัฟกานิสถาน มาเป็นเวลานานถึงกว่า 1,500 ปี 

ทว่า ในเดือน มี.ค. ปี พ.ศ. 2544 กลุ่มตอลิบันได้ใช้ระเบิดไดนาไมต์ ทำลายอันตธานไปจากหน้าผาหุบเขาบามิยัน และกลุ่มตอลิบันก็ล่มสลายในเวลาต่อมา แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ บามิยันเป็นอย่างยิ่ง 

ณ ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา พระพุทธรูปแกะสลักแห่งหุบเขาบามิยัน ที่ชาวไทยมักเรียก หลวงพ่อ บิมิยัน ดูดั่งได้กลับมาปรากฏกายสว่างเรืองรอง ณ หุบเขาบามิยัน

ดั่งปาฏิหาริย์ ! พระพุทธรูปแกะสลักบามิยันในอัฟกานิสถาน กลับมาอีกครั้งในองค์สีทองอร่ามเรืองรอง

คู่รักเศรษฐีแดนมังกร จางซินอวี๋และเหลียงหง ทุ่มเงินราว 3.7 ล้านบาท เพื่อฉายภาพ พระพุทธรูปบามิยัน เป็นภาพสามมิติสีทองงามอร่าม ณ ช่องเขาบามิยัน ด้วยเทคโนโลยีการฉายภาพสามมิติ หรือที่เรียกกันว่าโฮโลแกรม เพื่อระลึกถึงการทำลายล้างพระพุทธรูปแกะสลักองค์นี้ ที่ถูกรัฐบาลตอลิบานแห่งอัฟกานิสถานสั่งให้ระเบิดทำลายไปเมื่อ 14 ปี ที่แล้ว

อันที่จริงความคิดในการฉายภาพสามมิติ พระพุทธรูปบามิยันนั้น เดิมทีเป็นความคิดของศิลปินชาวญี่ปุ่น ฮิโร ยามากาตะ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 แล้ว แต่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์  และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ยังไม่มั่นใจในเทคนิคการฉายภาพฯของเขา จึงไม่อนุญาตฯ เนื่องจากเกรงว่าจะสร้างความเสียหายแก่ช่องเขาเก่าแก่แห่งนี้

ดั่งปาฏิหาริย์ ! พระพุทธรูปแกะสลักบามิยันในอัฟกานิสถาน กลับมาอีกครั้งในองค์สีทองอร่ามเรืองรอง

เมื่อสามีภรรยาจีนคู่นี้ได้ยินเรื่องราวของศิลปินแดนอาทิตย์อุทัย จึงได้เกิดแรงบันดาลใจ เนื่องจากทั้งคู่มีความรู้ความชำนาญในการฉายภาพสามมิติ และมั่นใจว่าจะไม่สร้างความเสียหาย ให้แก่โบราณสถานแห่งนี้ 

       โครงการฉายภาพสามมิติ พระพุทธรูปบามิยัน จึงได้เริ่มต้นขึ้น โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญต่างๆมาร่วมในโครงการฯด้วย โครงการฯได้ฉายภาพพระพุทธรูปทั้งหมดสองวัน วันละสิบกว่าชั่วโมง โดยมีผู้คนราว 150 คน ได้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการกลับมาอีกครั้งของพระพุทธรูปแกะสลักแห่งช่องเขาบามียัน

       ชาวบ้านคนหนึ่งในละแวกนั้นกล่าวว่าแม้การฉายภาพจะไม่สามารถแทนที่พระพุทธรูปที่ถูกทำลายไป แต่ก็ช่วยย้ำเตือนว่าท่านยังไม่ได้ลบเลือนไปจากความทรงจำของผู้คน

       สำนักข่าวสถานีโทรทัศน์กลางแห่ประเทศจีน หรือซีซีทีวี รายงานว่า หลังเสร็จสิ้นภารกิจ คู่รักมหาเศรษฐีได้บริจาคอุปกรณ์ในการฉายภาพให้แก่หน่วยงานดูแลรักษามรดกวัฒนธรรมท้องถิ่นของบามิยัน

       โดยกล่าวว่า นี่คือของขวัญที่ชาวจีนมอบให้แก่ชาวอัฟกานิสถาน และมีเงื่อนไขว่าหน่วยงานฯจะต้องจัดฉายภาพฯต่อไปในเดือน มี.ค. ของทุกปี

ดั่งปาฏิหาริย์ ! พระพุทธรูปแกะสลักบามิยันในอัฟกานิสถาน กลับมาอีกครั้งในองค์สีทองอร่ามเรืองรองภาพพระพุทธรูปบามิยันก่อนและหลังถูกทำลาย

ข้อมูลจากวิกิพีเดียระบุว่า พระพุทธรูปแกะสลักบามิยันในอัฟกานิสถานนี้ สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 10 เป็นพระพุทธรูปศิลปะกรีกโบราณสององค์ โดยองค์หนึ่งมีความสูง 53 เมตร และ 35 เมตร 

มีอายุเก่าแก่ราว 1,500 ปี ได้รับการยอมรับให้เป็นพระพุทธรูปแกะสลักฝาผนังที่ใหญ่ที่สุดในโลก ต่อมาถูกรัฐบาลตอลิบานที่เคร่งศาสนาอิสลามแบบสุดโต่ง ระเบิดทำลายไปในเดือนมี.ค. พ.ศ. 2544 

โดยให้เหตุผลว่ากฎหมายอิสลามไม่อนุญาตให้บูชารูปเคารพ นำมาซึ่งเสียงประณามจากคนทั้งโลก ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนพระพุทธรูปแห่งบามียันเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เมื่อปี 2546

องค์การยูเนสโกได้เข้าไปอนุรักษ์พื้นที่ สามารถปะติดปะต่อชิ้นส่วนพระพุทธรูปองค์เล็กกว่าที่หลงเหลืออยู่ให้ประดิษฐาน อยู่ในโพรงหินทรายได้สำเร็จ แต่สำหรับพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้น

ไม่เหลือชิ้นส่วนให้นำมาปะติดปะต่อได้อีก แต่ถึงอย่างนั้นยูเนสโกจะต้องใช้เวลาอีกสองปีกว่าจะฟื้นฟูสถานที่ที่เคยเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ได้สำเร็จ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.kunkroo.com/catalog.php?idp=324  (19 มิ.ย. 2558)

แชร์