“ชาวนาจีน” นิทานชีวิต เริ่มต้น ณ จุดคิดบวก
ในยุคไทยแลนค์ 4.0 กับยุคที่โลกโซเซียลมีผลต่อความคิดทัศนคติของคนใน Gens นี้ คำว่า "เน็ตไอดอล" จึงเกิดขึ้นมาพร้อมการเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจ ที่ส่งผลต่อผู้ติดตาม http://winne.ws/n18497
ในยุคไทยแลนค์ 4.0 กับยุคที่โลกโซเซียลมีผลต่อความคิดทัศนคติของคนใน Gens นี้ คำว่า "เน็ตไอดอล" จึงเกิดขึ้นมาพร้อมการเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจ ที่ส่งผลต่อผู้ติดตามทั้งบวกหรือลบ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแฟนว่าจะเลือกในด้านใด แต่โชคดีที่ปัจจุบันได้เข้าไปติดตามเพจดีๆ หลายเพจ ที่เน็ตไอดอลได้ผุดเพจที่สร้างสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจในทางที่ดีเพิ่มพลังบวกให้กับชีวิต
ขอบอกเลยว่ามันเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เพราะเด็กๆหรือใครก็ตามในยุคนี้ เมื่อเค้ามีความทุกข์ สิ่งใกล้มือที่สุดคือ "สมาร์ทโฟน" เมื่อได้เจอความคิดดีๆ คิดบวก เค้าจะสามารถมุ่งเข็มทิศชีวิตในทางที่ถูกต้องได้
เพจนึงที่อยากแนะนำ เพจนั้นคือ เพจของ "ฌอน บูรณะหิรัญ" ฌอนเด็กหนุ่มจากอเมริกา โตท่ามกลางสังคมที่หลากหลาย จากที่เคยค้นหาตนเองไม่เจอ สู่ความแข็งแกร่ง หล่อหลอมประสบการณ์การชีวิตและด้วยความสนใจในการพัฒนาตนเองจากการศึกษาด้านจิตวิทยาทำให้ปัจจุบันกลายเป็นเน็ตไอนอล ด้านการพูดสร้างแรงบันดาลใจ จากการเปิดเพจตามชื่อของตนเอง “ฌอน บูรณะหิรัญ”
สำหรับเรื่องที่ฌอนเล่ามีอยู่ในเพจมากมาย ส่วนใหญ่คือคลิปสั้นๆ แต่มีอยู่เรื่องนึงหนึ่งที่โดนใจ และผมเองคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่สร้างพลังบวก เมื่อเราต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ กับชีวิตและเราเองต้องผ่าน ณ จุดนั้นมาให้ได้ ลองมาอ่านเรื่องนี้ด้วยกันครับ เรื่อง “ชาวนาจีน”
ครั้งนึงชาวนาและลูกชายได้ทำอาชีพปลูกข้าวอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่ง ชาวนามีม้าอยู่หนึ่งตัว เค้ารักและหวงแหนมาก แต่วันนึงขณะกำลังทำนาอยู่ ม้าก็วิ่งหลุดไปจากคอกเค้าพยายามติดตามเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
ชาวบ้านเห็นดังนั้นจึงพากันมาที่บ้านของชาวนาพร้อมบอกว่า “โชคร้ายเนอะ”
ชาวนานิ่งแล้วตอบไปว่า “ก็ไม่แน่”
ผ่านมาอีกวันนึงขณะที่ชาวนากำลังดำนาอยู่ ก็เห็นม้าตัวที่หายไป พาเพื่อนม้ามาอีก 8 ตัว ชาวนาดีใจมาก เค้ามีม้าเพิ่มขึ้นเป็น 9 ตัวแล้ว
ชาวบ้านเห็นดังนั้นจึงพากันมาที่บ้านของชาวนาพร้อมบอกว่า “โชคดีเนอะ”
ชาวนานิ่งแล้วตอบไปว่า “ก็ไม่แน่”
ผ่านมาอีกสัปดาห์ชาวนาเห็นว่าลูกชายของตนเองเป็นหนุ่มแล้วจึงอยากให้ขี่ม้าเป็นเพื่อจะได้ช่วยงานตนได้ แต่ขณะที่ลูกชายขึ้นไปนั่งบนหลังฝึกได้ไม่นานก็ถูกม้าสะบัดตกลงมาจนขาหัก
ชาวบ้านเห็นดังนั้นจึงพากันมาที่บ้านของชาวนาพร้อมบอกว่า “โชคร้ายเนอะ”
ชาวนานิ่งแล้วตอบไปว่า “ก็ไม่แน่”
ผ่านมาอีกสองวันทางการประกาศว่าจะมีสงครามเกิดขึ้น จึงจำต้องเกณฑ์ชายฉกรรจ์ ทุกคนไปเป็นทหารแต่พอมาถึงบ้านชาวนาจีน กลับเห็นว่าลูกชายคนเดียวขาหักจึงตัดสินใจไม่รับเข้าเป็นทหาร ซึ่งกลายเป็นเพียงคนเดียวในหมู่บ้านที่ไม่โดนเกณฑ์
ชาวบ้านเห็นดังนั้นจึงพากันมาที่บ้านของชาวนาพร้อมบอกว่า “โชคดีเนอะ”
ชาวนานิ่งแล้วตอบไปว่า “ก็ไม่แน่”
……………………………………………………………
จบตรงนี้เราได้อะไรบ้าง นายริตะเองตอนแรกก็คิดว่าคงได้ข้อคิดเรื่องของการคิดบวกอีกเรื่องนึง แต่พอมาฟังบทสรุปของฌอนผมคิดว่าผมได้อะไรเกิดกว่านิทานเรื่องนึง ฌอนได้สรุปออกว่าอย่างน่าสนใจว่า
“บางทีเราไม่รู้หรอกว่า สิ่งที่เกิดในชีวิตของเรามันเป็นสิ่งดีหรือไม่ดี เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะส่งผลอย่างไร ต่อชีวิตของเรา"
"บางครั้งผมเองไม่ได้รับโอกาสหรือทำอะไรผิดพลาด ทำอะไรล้มเหลว ไม่นานหลังจากนั้นชีวิตทำให้ผมได้เจอสิ่งที่ดีกว่า และผมก็คิดว่าหลายๆ คนคงมีประสบการณ์คล้ายกับผม"
"บางทีชีวิตอาจจะทดสอบเรา ทำให้เราทุกข์ เพื่อสอนให้เราเข้มแข็ง เราจะได้เป็นที่พึ่งของคนอื่น บางทีชีวิตเรา อยากให้เราเจอใครซักคนหลงรักเค้า แล้วอกหักเราจะได้เรียนรู้ ว่าเราจะเลือกทุ่มเทให้กับใคร และเห็นคุณค่ากับคนที่รักเรา"
"บางครั้งชีวิตเราอยากให้เราลงมือทำอะไรเต็มที่เพื่อที่จะให้เราล้มเหลว เราจะได้บทเรียนจากสิ่งนั้น และบทเรียนเหล่านั้นอาจจะเป็นบทเรียนให้เราประสบความสำเร็จในชีวิต”
ทุกประโยคที่เรียงร้อยมานี้นายริตะคิดว่า เป็นประโยชน์ในการนำมาใช้ชีวิตของเรามากๆ ทุกวัน เราต้องพบเจอทั้งเรื่องดี เรื่องร้ายบ้าง อยู่ที่ว่าเราจะมองเรื่องนั้นเป็นอย่างไร จะคิดแง่บวกที่จะให้เราเกิดพลังใจ หรือคิดแง่ลบ ทำให้เสียกำลังใจ และพลังของชีวิตดีที่สุดในเรื่องนี้คือ เมื่อเกิดเรื่องอะไรก็ตาม คิดว่าทุกปัญหามีทางออกเสมอ ให้เราทำใจนิ่งๆ คิดบวก ยิ้มให้กับมัน แก้ไปทีละอย่าง และขอให้จำไว้ว่า “ทุกปัญหา อุปสรรคจะสอนให้เราเข้มแข็ง ทำให้เราพร้อมที่จะเป็นที่พึ่งของคนอื่นต่อไป"
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ
By นายริตะ