อานิสงส์ของการกวาดลานวัด...กรณีศึกษา "พระนางโรหิณี"

คนโบราณเขาเชื่อถือกันมาว่า ผู้ที่มีโรคผิวหนังพุพองหรือโรคเรื้อน ถ้าได้มาเก็บขยะเก็บใบไม้ที่ร่วงหล่นปัดกวาดลาดวัดให้สวยงามสอาดตาแล้วนั้น เชื่อกันว่าจะทำให้ผิวพรรณวรรณะงดงามและทำให้โรคร้ายหายไปได้ http://winne.ws/n22681

1.2 หมื่น ผู้เข้าชม
อานิสงส์ของการกวาดลานวัด...กรณีศึกษา "พระนางโรหิณี"

การกวาดวัดนี้มีอานิสงส์ถึง ๕ อย่างคือ

๑. บุคคลเห็นเข้าก็เลื่อมใส 
๒. เทวดาเห็นเข้าก็เลื่อมใส 
๓. จิตของผู้กวาดตั้งสมาธิได้เร็ว 
๔. ผิวพรรณวรรณะผ่องใส 
๕. เมื่อตายดับสังขารจากโลกนี้ไปแล้วก็ไปบังเกิดในภพภูมิสวรรค์

อานิสงส์ของการกวาดลานวัด...กรณีศึกษา "พระนางโรหิณี"

ดังเรื่องเล่าในสมัยพุทธกาล เรื่องของ พระนางโรหิณี

พระนางโรหิณีนั้นเป็นพระกนิษฐภคินี (น้องสาว) ของพระอนุรุทธเถระ พระอนุรุทธะนั้น ท่านมีพี่น้อง ๓ คน คือ ๑ .พระมหานามะ ๒.พระอนุรุทธะ ๓.พระนางโรหิณี

พระอนุรุทธะ บิดาของท่านคือ พระเจ้าอมิโตทนะ ซึ่งเป็นพระกนิษฐภาดา (น้องชาย) ของพระเจ้าสุทโธทนะ เพราะฉะนั้น พระอนุรุทธะนั้นจึงเป็นลูกผู้พี่ผู้น้องของพระพุทธเจ้า

วันหนึ่ง พระอนุรุทธะได้เดินทางไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ อันเป็นบ้านเดิมของท่าน เมื่อไปแล้ว พวกบรรดาพระญาติก็มาหาท่านเป็นจำนวนมาก แต่ยังขาดอยู่คนหนึ่งไม่ได้ไปพบ นั้นก็คือพระนางโรหิณี พระอรนุรุทธะจึงถามพวกพระญาติที่มาพบว่า น้องหญิงไปไหนเสียจึงไม่มา ก็ได้รับการบอกว่าอยู่ที่พระตำหนัก ท่านก็ถามว่า ทำไมจึงไม่มา ก็ได้รับคำตอบว่า พระนางเป็นโรคผิวหนังมีแผลพุพองคันไปทั่วทั้งตัวจึงไม่กล้ามา

พระอนุรุทธะก็ให้คนไปตามมาพบให้ได้ พอพระนางมาแล้วไหว้พระเถระ ๆ ก็ถามว่าทำไมไม่มา พระนางก็เรียนว่าตนเป็นโรคผิวหนังอันไม่งามจึงไม่มา ก็เพราะความละอาย

พระอนุรุทธะเถระก็กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นเธอจงสร้างศาลาขึ้น ๑ หลัง เป็นศาลาโรงฉันสำหรับภิกษุสงฆ์

พระนางโรหิณีก็เรียนถามว่า กระหม่อมฉันจะเอาเงินที่ไหนมาสร้าง

พระเถระก็พูดว่า เครื่องประดับของเธอไม่มีบ้างหรือ

พระนางก็เรียนว่า มีเครื่องประดับอยู่

พระเถระถามว่า ราคาประมาณเท่าไร

พระนางเรียนว่า ประมาณหนึ่งหมื่นกหาปณะ 

พระเถระจึงบอกว่า เธอจงขายเครื่องประดับนี้เสียแล้วนำไปสร้างศาลาโรงฉัน

พระนางก็ถามว่า แล้วใครจะช่วยสร้างให้ เพราะไม่มีคนสร้าง พระเถระก็มองดูพระญาติ ๆ ทั้งหลายซึ่งมานั่งอยู่เป็นจำนวนมากแล้วพูดขึ้นว่า ให้พระญาติทั้งหลายนั้นช่วยจัดการเรื่องนี้ ช่วยกันสร้างศาลานี้ บรรดาพระญาติทั้งหลายก็รับคำจัดการสร้างให้

อานิสงส์ของการกวาดลานวัด...กรณีศึกษา "พระนางโรหิณี"

พอศาลาโรงฉันสร้างเสร็จ พระนางก็มีจิตผ่องแผ้วเกิดปีติโสมนัสยิ่ง เริ่มไปปัดกวาด ปูอาสนะ ตั้งน้ำใช้ น้ำฉันไว้ แล้วพระนางก็เริ่มปฎิบัติถือศีลฟังธรรมตามกาล โรคเรื้อนหรือโรคผิวหนังที่พระนางเป็นอยู่ก็เริ่มแห้งราบลงไป ๆ เมื่อถึงวันฉลองศาลาโรงฉัน พระนางก็ได้ให้คนไปนิมนต์พระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้มาเสวยที่โรงฉันหลังนั้น พระพุทธเจ้าทรงรับแล้วได้เสด็จมาเสวยพระกระยาหารในที่นั้น

พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสถามว่านี้เป็นทานของใคร พระอนุรุทธเถระก็ทูลตอบว่า นี้เป็นทานของพระนางโรหิณี ผู้เป็นพระน้องนาง

พระพุทธองค์ทรงตรัสถามว่า พระนางโรหิณีไปอยู่ที่ไหนเสียเล่า

พระอนุรุทธเถระทูลตอบว่า อยู่ที่พระตำหนักไม่กล้ามา เพราะละอายที่ตนเป็นโรคผิวหนังอันน่ารังเกียจ

พระพุทธองค์จึงทรงตรัสรับสั่งให้ไปตามพระนางมา เมื่อพระนางมาแล้วก็ทำการถวายบังคม แล้วก้มหน้านิ่ง

พระพุทธองค์ได้ตรัสถามพระนางว่า ทำไมไม่มา

พระนางก็ทูลตอบว่า ตนเป็นโรคผิวหนังอันพุพองเป็นที่น่ากลัวน่ารังเกียจ จึงได้มีความละอาย เลยไม่กล้าที่จะมาเข้าเฝ้า

พระพุทธองค์ทรงตรัสถามว่า เธอทราบไหมว่า ทำไมจึงเป็นโรคผิวหนัง

พระนางทูลตอบว่า ไม่ทราบพระเจ้าข้า

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ที่เป็นโรคผิวหนังพุพองนั้น ก็เพราะความโกรธที่เธอทำไว้ในชาติก่อน จึงทำให้เป็นโรคผิวหนังเป็นแผลพุพองอันน่าเกลียด และพระองค์ได้ยกอดีตนิทานของพระนางโหริณีในชาติก่อนมาตรัสเล่าว่า

ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี พระนางนั้นได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงพาราณสี พระนางมีความผูกจิตริษยาอาฆาตแค้นในหญิงนักฟ้อนรำของพระราชาองค์นั้น (อาจเป็นเพราะพระราชาโปรดปราณหญิงนักฟ้อนรำคนนั้นมากก็ได้ ทำให้พระนางริษยาแค้นเคืองหนักหนา ) 

พระนางทรงรับสั่งให้เรียกหญิงนักฟ้อนรำนั้นเข้ามาที่พระตำหนัก แล้วตรัสสั่งคนให้เอาผงเต่าร้างโปรยบนผ้าที่นอนของหญิงนักฟ้อนรำนั้น นอกจากจะโรยที่นอนแล้วก็ให้โปรยบนผ้าห่มด้วย เมื่อหญิงนักฟ้อนรำเข้ามาเฝ้า พระนางก็ทรงโปรยผงเต่าร้างลงไปที่ตัวของนางนักฟ้อนรำแล้วทำเป็นหัวเราะเล่น 

หญิงนักฟ้อนรำนั้นเมื่อโดนผงเต่าร้างโรยมาที่ตัวก็ให้คันเหลือประมาณได้รับทุกขเวทนายิ่ง ตามตัวก็พุพองขึ้นเป็นเม็ดน้อยเม็ดใหญ่ เมื่อเม็ดพุพองขึ้นมาก็เกา เกาหาที่คัน เม็ดตุ่มคันก็เเตกเป็นแผล เมื่อนางไปนอนบนที่นอนก็ถูกผงเต่าร้างกัดที่นอนนั้น นางได้รับทุกข์เวทนาอย่างแรงกล้า

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เพราะกรรมอันนี้เอง เธอจึงเป็นโรคเรื้อนเพราะความริษยา เพราะความโกรธนี้เองจึงเป็นเหตุให้เธอต้องรับทุกข์เวทนาเช่นนี้ ในที่สุด พระพุทธองค์จึงทรงตรัสแสดงธรรมกับพระนางขึ้นว่า

“ บุคคลไม่พึงโกรธ พึงสละความถือตัวเสีย ควรล่วงสังโยชน์เสียให้สิ้น ทุกข์ทั้งหลายย่อมไม่ตกแก่บุคคลเช่นนั้น ผู้ไม่ข้องอยู่ในนามรูป ผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ”

เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม พระนางก็พิจารณาตามกระแสแห่งพระสัทธรรมนั้น และในที่สุดพระนางก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น เมื่อพระนางสำเร็จโสดาบันในครั้งนั้น พระนางก็มีผิวพรรณวรรณะดุจทองคำในขณะนั้นเอง 

นี่เป็นผลอานิสงส์จากการที่พระนางได้สร้างศาลาโรงฉันแล้วก็ได้ปฎิบัติธรรมปัดกวาดศาลาโรงฉัน ตั้งน้ำใช้น้ำฉันเป็นต้น



ที่มาhttps://www.facebook.com/GBNUS/photos/

แชร์