ทำไม "หลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ" จึงได้ชื่อว่าเป็น "พระผู้ปราบมาร"
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย จริยาปิฎกว่า "ท่านทั้งหลาย จงเห็นความเกียจคร้านว่าเป็นภัย และเห็นการปรารภความเพียรว่าเป็นแดนเกษม และปรารภความเพียรเถิด นี้เป็นพุทธานุสาสนี" เมื่อรู้จักเป้าหมายชีวิตแล้ว ยังไม่เร่งความเพียร ถือว่ายังประมาทอยู่ http://winne.ws/v22139
ชีวิตที่ปลอดภัย ต้องมีที่พึ่งที่ระลึก ซึ่งก็อยู่ภายในตัวของเรานี่เอง
โกสชฺชํ ภยโต ทิสฺวา, วิริยารมฺภญฺจ เขมโต. อารทฺธวิริยา โหถ, เอสา พุทฺธานุสาสนี. ท่านทั้งหลายจงเห็นความเกียจคร้านเป็นภัย เห็นการปรารภความเพียรเป็นแดนเกษม และปรารภความเพียรเถิด นี้เป็นพุทธานุสาสนี. (พุทฺธ) ขุ.จริยา. ๓๓/๕๙๕.
วิริเยน ทุกขมจฺเจติ บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร
คุณยายเล่าว่า กว่าจะเข้าถึงธรรมภายในได้ ต้องทำความเพียรกันจริง ๆ จัง ๆ เอาชีวิตเป็นเดิมพันกันเลย คุณยายไม่เอาความแก่หรือความปวดเมื่อยมาเป็นอุปสรรคใด ๆ เลย เพราะยายรักการทำสมาธิเป็นชีวิตจิตใจ แม้เหตุการณ์บ้านเมืองช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบแล้ว แต่ยายก็ทำความเพียรต่อเนื่อง
ยายไม่มีความรู้ทางวิชาการทางโลกใด ๆ เลย
แต่ความรู้ภายในที่เกิดจากใจบริสุทธิ์หยุดนิ่งของคุณยาย ทำให้ยายรู้ถึงกุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา และอพยากตาธรรมา ท่านเข้าใจได้ด้วยอานุภาพวิชชาธรรมกาย ตั้งแต่นั้นมา ท่านก็หยุดในหยุดตลอดมา เพราะท่านรู้ว่า ต้นตอแห่งความทุกข์ทรมานนั้นมาจากพญามารทั้งสิ้น เวลายายมีอารมณ์สบาย ยายจะพูดว่า "ยายจะยังไม่ไปนิพพาน ยายจะปราบมารให้ถึงที่สุด" ท่านพูดอย่างนี้กับศิษย์ใกล้ชิดเสมอ ท่านมุ่งปฏิบัติธรรม เพื่อปราบมารให้ถึงที่สุด
หลวงพ่อวัดปากน้ำ กล่าวไว้ว่าพญามาร แปลว่า ผู้ขวางการทำความดีของทุก ๆ คน เขาคอยขัดขวางไม่ให้สร้างบารมีได้อย่างสะดวกสบาย
ในพระไตรปิฎกมีกล่าวถึงพญามารไว้หลายตอน พูดง่าย ๆ ว่ามีการต่อสู้กันระหว่าง 2 สิ่ง คือธรรมะกับอธรรม บุญกับบาป ความดีกับความชั่ว ความมืดกับสว่าง ความไม่รู้กับความรู้ ความบริสุทธิ์กับความไม่บริสุทธิ์ ต่อสู้กันตลอดเวลา โดยมีโอกาสโลกได้แก่สิ่งแวดล้อม เชื่อมโยงกับภายในกับภายนอก ขันธโลก สัตวโลกได้แก่เห็นจำคิดรู้ หรือจิตใจของสรรพสัตว์ทั้งหลาย มีเพียง 2 ฝ่ายเท่านั้นที่ต่อสู้กันคือธรรมะกับอธรรม ต่อสู้เพื่อปกครอง โอกาสโลก ขันธโลก สัตวโลกนี่แหละ ความเบียดเบียนไม่มีวันหมดสิ้นไป
หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านบอกว่า ถ้าไม่ได้ไปดับที่ต้นเหตุ ของผู้ที่ผลิตความทุกข์ทรมาน ความเบียดเบียนไม่มีวันหมดสิ้นไป
ท่านมองเห็นด้วยวิชชาธรรมกาย ด้วยธรรมจักขุ ท่านจึงมุ่งหยุดในหยุดเข้าไปสู่ภายใน ไม่ถอนถอยเลย
ท่านยังกล่าวอีกว่า "การรบกันในเมืองมนุษย์นั้น ยังรบกันไม่ถูกต้อง เป็นการรบกันเองไม่ถูกตัวจริง ต้องรบกับกิเลส รบกับต้นเหตุของกิเลส คือพญามาร เมื่อปราบมารหมดสิ้นไปเมื่อใด ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่บังคับสรรพสัตว์ ก็จะหมดสิ้นไป สันติสุขที่แท้จริงจึงจะบังเกิดขึ้น อย่างแท้จริง ด้วยญาณของพระธรรมกาย จะเห็นว่า ทุกอย่างเกี่ยวพันกันหมด ทั้งโอกาสโลก ขันธโลก และสัตวโลก
ดังนั้นต้องไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม เมื่อไปถึงตรงนั้นแล้วจับต้นตอได้แล้ว ทุกข์ทั้งมวลก็ดับไป ถ้าไปไม่ถึง มนุษย์จะตกเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามารอยู่ร่ำไป พญามารจะบังคับให้มนุษย์ให้คิดไม่ดี เมื่อคิดไม่ดีก็จะพูดไม่ดี ทำไม่ดี บังคับขันธ์ 5 ของมนุษย์ให้มีโรคภัยไข้เจ็บ ตรึงเอาไปติดกับสิ่งไม่ดีบ้าง บังคับโอกาสโลกเช่นบังคับไม่ให้ฝนตกตามฤดูกาล บังคับเศรษฐกิจให้ตกต่ำ ข้าวยากหมากแพง เกิดการรบราฆ่าฟันกันเอง ดังนั้น ต้องไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรมให้ได้ "
คุณยายเร่งทำวิชชา
ในการทำวิชชาสมัยวัดปากน้ำ ไม่ว่ายามปกติหรือยามสงครามโลก ก็จะแบ่งเป็นกะ กะละ 6 ชั่วโมง สลับกัน 4 กะ ตลอด 24 ชั่วโมง คุณยายจะนั่งกะกลางวัน 6 ชั่วโมง กลางคืน 6 ชั่วโมง และนั่งเกินเวลาอีก ครึ่งชั่วโมง เพื่อรองรับวิชชาที่หลวงปู่จะเชื่อมกะให้อีก คุณยายต้องนั่ง 6 ชั่วโมงครึ่ง คุณยายเป็นนักรบกองทัพธรรม อาศัยบุญฤทธิ์ต่อสู้กัน ตลอดเวลา
หลวงพ่อวัดปากน้ำ เห็นว่าคุณยายมีฤทธิ์ มีอานุภาพ มุ่งมั่นทำวิชชามาก ดูได้จากดวงตาที่เด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น จนคุณยายได้รับคำชมจากหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้นว่า "ลูกจันทร์นี้ เป็นหนึ่งไม่มีสอง" ซึ่งเป็นเกียรติประวัติชีวิตอันงดงามของคุณยายแต่ท่านก็ไม่ลิงโลดใจ ยังรักษาภาวะปกติต่อไปอย่างปกติ
อ้างอิงจากรายการ ธรรมะเพื่อประชาชน
ขอบคุณข้อมูลและคลิปจาก : Note Sathaphorn
ฟังต่อได้ที่: https://youtu.be/wR-MwtZ_ki0